

เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจเริ่มต้นจดทะเบียนบริษัท สิ่งแรกที่มักจะนึกถึง คือ “ชื่อบริษัท” เพราะชื่อเปรียบเสมือนตัวแทนของธุรกิจ เป็นสิ่งที่ลูกค้า พันธมิตร และหน่วยงานต่าง ๆ ใช้จดจำ ติดต่องาน และสร้างความเชื่อมั่นให้กับแบรนด์ การตั้งชื่อบริษัทจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความชอบหรือความสวยงาม แต่ยังต้องคำนึงถึงข้อกฎหมาย ความเหมาะสม และความพร้อมในการใช้งานในบริบทต่าง ๆ ด้วย
คำถามที่เกิดขึ้นบ่อยในกลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือธุรกิจที่มุ่งเป้าสู่ตลาดสากล ก็คือ “ชื่อบริษัทต้องเป็นภาษาไทยเท่านั้นหรือไม่?”
บทความนี้จะพาไปหาคำตอบ พร้อมอธิบายหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และข้อควรรู้ที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจจดชื่อบริษัทอย่างมั่นใจ
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนและบริษัท พ.ศ. 2535 และแนวปฏิบัติของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ได้กำหนดให้การจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทยต้องมีการใช้ ชื่อบริษัทภาษาไทย เป็นหลัก โดยอาจเพิ่มเติมชื่อภาษาอังกฤษได้ตามความเหมาะสม คือ
ชื่อบริษัท “ต้องมีภาษาไทยเสมอ” และ “สามารถมีชื่อภาษาอังกฤษเพิ่มเติมได้”
ตัวอย่างเช่น หากผู้ประกอบการต้องการใช้ชื่อว่า “Greenproksp Group” จะต้องระบุชื่อบริษัทในภาษาไทยควบคู่กัน เช่น บริษัท กรีนโปร เคเอสพี กรุ๊ป จำกัด / Greenproksp Group Co., Ltd.
ในทางกฎหมาย ชื่อภาษาไทยถือเป็นชื่อทางการของบริษัท ส่วนชื่อภาษาอังกฤษถือเป็นชื่อกำกับ ใช้ในบริบทที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารระหว่างประเทศ หรือเมื่อจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษ เช่น การเปิดบัญชีธนาคารที่มีการระบุชื่อภาษาอังกฤษ หรือการทำสัญญากับลูกค้าต่างชาติ
แม้ประเทศไทยจะเปิดกว้างด้านธุรกิจแต่การใช้ภาษาไทยในชื่อบริษัทยังคงมีความจำเป็นด้วยเหตุผลหลายประการ ได้แก่:
ภาครัฐใช้ภาษาไทยเป็นภาษาทางการในการดำเนินงานทุกด้าน ชื่อบริษัทที่เป็นภาษาไทยจึงช่วยให้สามารถจัดเก็บข้อมูล ตรวจสอบ และดำเนินการต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน
การตรวจสอบชื่อบริษัทก่อนการจดทะเบียนจำเป็นต้องใช้ภาษาไทยเป็นหลัก เพื่อป้องกันการตั้งชื่อซ้ำ หรือชื่อที่ใกล้เคียงกับบริษัทอื่นจนสร้างความสับสน
หากเกิดข้อพิพาทหรือมีการดำเนินคดี ความรับผิดชอบตามกฎหมายจะอ้างอิงจากชื่อภาษาไทยที่จดทะเบียนไว้อย่างเป็นทางการ
หนังสือรับรองบริษัท, ใบเสนอราคา, ใบกำกับภาษี, และเอกสารสำคัญอื่น ๆ ล้วนต้องระบุชื่อบริษัทภาษาไทยอย่างชัดเจน
แม้ชื่อภาษาอังกฤษไม่ใช่ข้อบังคับ แต่ก็สามารถระบุไว้ในหนังสือจดทะเบียนบริษัทได้โดยไม่มีปัญหา และสามารถใช้ในหลายบริบท เช่น:
ทั้งนี้ชื่อภาษาอังกฤษควรมีความสอดคล้องกับชื่อภาษาไทย และหลีกเลี่ยงการใช้คำที่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือมีความหมายล่อแหลมในภาษาต่างประเทศ
อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ประกอบการหลายคนมักสับสน คือความแตกต่างระหว่าง “ชื่อบริษัท” และ “ชื่อแบรนด์” ซึ่งมีข้อแยกกันอย่างชัดเจน
ตัวอย่างเช่น บริษัทชื่อ “บริษัท บิวตี้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” อาจมีแบรนด์สินค้าชื่อว่า “GlowUp Skincare” ก็สามารถทำได้ตามกฎหมาย โดยหากต้องการความคุ้มครองเพิ่มเติมสามารถจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแยกต่างหากได้
คำตอบคือ “ต้องมีชื่อภาษาไทยเสมอ”การตั้งชื่อบริษัทจำเป็นต้องใช้ภาษาไทยเป็นหลักตามกฎหมายของประเทศไทย ส่วนชื่อภาษาอังกฤษสามารถใส่เพิ่มได้ตามความเหมาะสม โดยไม่ใช่ข้อบังคับ การตั้งชื่อบริษัทที่ดีควรคำนึงถึงกฎหมาย ความชัดเจน ความเหมาะสมกับธุรกิจ และง่ายต่อการจดจำ รวมถึงสอดคล้องกับชื่อแบรนด์ในเชิงภาพลักษณ์ เพื่อให้ชื่อที่คุณเลือกกลายเป็นรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาว