

การบริหารจัดการทุนจดทะเบียนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจในรูปแบบบริษัทเพราะ “ทุนจดทะเบียน” เป็นข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือรับรองบริษัท และแสดงถึงความมั่นคงของกิจการในสายตาของคู่ค้า อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ เช่น การลดขนาดการดำเนินงาน หรือเพื่อให้ทุนสอดคล้องกับสถานการณ์จริง บริษัทก็สามารถดำเนินการ ลดทุนจดทะเบียน ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย การลดทุนจดทะเบียน หมายถึง การดำเนินการลดจำนวนทุนที่จดทะเบียนไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ซึ่งอาจเกิดจากการลดจำนวนหุ้น หรือการลดมูลค่าหุ้นก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทุนจดทะเบียนสะท้อนภาพจริงของกิจการ หรือจัดโครงสร้างทุนใหม่ให้เหมาะสมกับทิศทางธุรกิจ
การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย การดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือและสามารถดำเนินการได้อย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการจดทะเบียนบริษัท หลายครั้งผู้ประกอบการมักพลาดในบางจุด ซึ่งอาจส่งผลให้การจดทะเบียนล่าช้า เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม หรือถูกปฏิเสธโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บทความนี้จะกล่าวถึงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการจดทะเบียนบริษัทและวิธีป้องกัน เพื่อช่วยให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น 1. การตั้งชื่อบริษัทไม่ถูกต้องหรือซ้ำกับบริษัทอื่น เพราะอาจทำให้การจดทะเบียนถูกปฏิเสธ เนื่องจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่อนุญาตให้มีชื่อบริษัทซ้ำกันแม้จะเป็นชื่อที่ใกล้เคียง วิธีป้องกัน:– ตรวจสอบชื่อบริษัท– เตรียมชื่อสำรองไว้อย่างน้อย 2-3 ชื่อ
การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นก้าวสำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เจ้าของบริษัทอาจจดทะเบียนไปแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินกิจการจริง ไม่ว่าจะเป็นเพราะธุรกิจยังไม่พร้อม หรือเปลี่ยนแผนกะทันหัน การปล่อยให้บริษัทที่จดทะเบียนไว้อยู่เฉย ๆ โดยไม่ดำเนินการใด ๆ อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับที่ไม่คาดคิด ดังนั้น หากจดทะเบียนบริษัทแล้วแต่ยังไม่ได้ดำเนินกิจการ ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภายหลัง ขั้นตอนที่ต้องทำหากจดทะเบียนบริษัทแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินกิจการ 1. ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51)
การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นก้าวสำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการจดทะเบียนบริษัทแล้ว เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่ต้องเสีย เพื่อให้สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงปัญหาด้านภาษีในอนาคต 1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax)3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding
ได้รับเงินโดยเสน่หาต้องเสียภาษีแบบไหน การได้รับเงินโดยเสน่หา หรือ ภาษีการรับให้ (Gift Tax) ถือเป็นรายได้ที่ผู้รับต้องพิจารณาภาระภาษีตามกฎหมาย โดยมีรายละเอียดดังนี้ : กรณีได้รับเงินหรือทรัพย์สินโดนเสน่หา ตัวอย่างการคำนวณภาษี การยื่นภาษี 🔆 อีกทั้งผู้รับต้องมีหลักฐานการให้โดยเสน่หา เช่น สัญญา หรือเอกสารที่แสดงถึงแหล่งที่มาของเงิน และหากผู้รับไม่ยื่นภาษีให้ถูกต้อง อาจถูกเรียกตรวจสอบและเสียค่าปรับ #ได้รับเงินโดยเสน่หาต้องเสียภาษีแบบไหน
การจัดทำบุญประจำปีของบริษัท เช่น การเลี้ยงพระในวันสงกรานต์หรือวันปีใหม่ สามารถถือเป็นรายจ่ายทางภาษีได้ หากปฏิบัติตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้ :
“เงินเพิ่ม” หมายถึง ค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางภาษี เช่น การยื่นแบบภาษีล่าช้า การชำระภาษีไม่ครบถ้วน หรือการไม่ชำระภาษีภายในระยะเวลาที่กำหนดในอัตราที่ 1.5% ต่อเดือน โดยคำนวณจากวันที่ต้องชำระภาษีจนถึงวันที่ชำระภาษีครบถ้วน
ปัจจุบันผู้ประกอบการในประเทศไทยมักใช้บริการจากต่างประเทศมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การซื้อโฆษณาออนไลน์ การใช้ซอฟต์แวร์ หรือการจ้างบริการต่างๆ จากผู้ให้บริการที่ไม่มีสถานประกอบการในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การรับบริการจากต่างประเทศยังต้องปฏิบัติตามกฎหมายด้านภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยมีรายละเอียดและข้อกำหนดที่ผู้ประกอบการควรทราบดังนี้ :
การลดหย่อนภาษีแต่ละประเภท เพื่อช่วยให้ท่านสามารถวางแผนการเงินได้ดีขึ้นและช่วยลดภาระทางภาษีที่ต้องจ่ายในปี 2567
Line ID : @greenprokspacc
Tel : 085-067-4884
Line ID : @greenproksp
Tel : 094-864-9799