ภาษีธุรกิจเฉพาะ คืออะไร? บทความนี้มีคำตอบ

ภาษีธุรกิจเฉพาะ (SBT) คืออะไร? ธุรกิจแบบไหนต้องเสีย และต้องทำอะไรบ้าง

นอกเหนือจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่คนทำธุรกิจคุ้นเคยกันดีแล้ว ยังมีภาษีอีกประเภทหนึ่งที่ผู้ประกอบการบางกลุ่มต้องรู้จัก นั่นคือ “ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax – SBT)” ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บจากกิจการบางประเภทที่มีลักษณะเฉพาะตามที่กฎหมายกำหนด

หลายคนอาจยังไม่แน่ใจว่าธุรกิจของตนเองเข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะหรือไม่ บทความนี้จะสรุปให้เข้าใจง่ายๆ ว่าใครบ้างที่ต้องเสียภาษีประเภทนี้ และมีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง


ใครคือผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ?

ผู้ประกอบกิจการที่เข้าข่ายต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนฯ เท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น:

  • บุคคลธรรมดา
  • คณะบุคคล หรือ ห้างหุ้นส่วนสามัญ (ที่มิใช่นิติบุคคล)
  • กองมรดก, กองทุน
  • นิติบุคคลทุกประเภท รวมถึงองค์การของรัฐบาลและสหกรณ์

นอกจากนี้ หากผู้ประกอบกิจการอยู่ต่างประเทศ แต่มีตัวแทนหรือผู้ทำการแทนในประเทศไทย ก็ต้องรับผิดชอบเสียภาษีธุรกิจเฉพาะร่วมกัน


6 กลุ่มกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

ตามประมวลรัษฎากร ธุรกิจที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ (หากไม่ได้รับยกเว้น) ได้แก่:

  1. การธนาคาร: ธุรกิจธนาคารพาณิชย์หรือธุรกิจที่มีกฎหมายเฉพาะ
  2. ธุรกิจเงินทุน หลักทรัพย์ และเครดิตฟองซิเอร์: การประกอบธุรกิจตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
  3. การรับประกันชีวิต: ธุรกิจประกันชีวิตตามกฎหมาย
  4. การรับจำนำ: กิจการโรงรับจำนำตามกฎหมาย
  5. การประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์: ถือเป็นกลุ่มที่ครอบคลุมธุรกิจการเงินนอกเหนือจากธนาคาร เช่น การให้กู้ยืมเงิน, การค้ำประกัน, การแลกเปลี่ยนเงินตรา, การซื้อขายตั๋วเงิน เป็นต้น
  6. การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร: การขายที่ดิน, อาคาร, หรือคอนโด ที่เข้าลักษณะเป็นการค้าหรือเพื่อหากำไร (ไม่ใช่การขายมรดกหรือการขายบ้านที่อยู่อาศัยมาเกิน 5 ปี) ถือเป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

หน้าที่ของผู้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ

เมื่อธุรกิจของคุณเข้าข่ายเป็นกิจการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว คุณมีหน้าที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนี้:

1. การจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะ (ยื่นแบบ ภ.ธ.01) ผู้ประกอบการต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะด้วยแบบ ภ.ธ.01 ต่อกรมสรรพากร ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่เริ่มประกอบกิจการ

2. การแจ้งเปลี่ยนแปลงทะเบียน หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลสำคัญของกิจการ จะต้องแจ้งต่อกรมสรรพากรภายใน 15 วัน นับจากวันที่มีการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ เช่น:

  • เปลี่ยนชื่อสถานประกอบการ
  • เปิดสาขาเพิ่ม หรือย้ายที่ตั้ง
  • หยุดกิจการชั่วคราว หรือเลิกประกอบกิจการ
  • มีการโอนกิจการ หรือควบรวมกิจการ

3. การยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษี (ยื่นแบบ ภ.ธ.40) ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบ ภ.ธ.40 เพื่อแสดงรายรับและชำระภาษีเป็นรายเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป แม้ว่าจะไม่มีรายรับเกิดขึ้นในเดือนนั้นๆ ก็ตาม

สรุป:

ภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ประกอบการในกลุ่มธุรกิจการเงิน, การประกัน, การรับจำนำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า ต้องศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้อง การจดทะเบียนและยื่นภาษีตรงเวลาจะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและปลอดจากปัญหาเบี้ยปรับเงินเพิ่มในอนาคต