สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่บริษัทสามารถใช้ลดภาษีได้อย่างถูกกฎหมาย
ภาษีไม่ใช่แค่ภาระ แต่คือ “โอกาส” ที่ซ่อนอยู่ในกฎหมาย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักมอง “ภาษี” ว่าเป็นภาระที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ในความจริงแล้ว ภาษีอากรที่รัฐบาลกำหนดไว้ ไม่ได้มีไว้เพื่อเรียกเก็บเงินจากภาคเอกชนอย่างเดียว หากแต่ยังมี “ช่องทางทางกฎหมาย” ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถใช้สิทธิ์ “ลดหย่อน” หรือ “ยกเว้น” ภาษีได้ในหลากหลายรูปแบบ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมนโยบายเศรษฐกิจ สังคม หรืออุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ
บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่บริษัทสามารถใช้ได้ โดยแบ่งประเภทชัดเจน เข้าใจง่าย เพื่อให้คุณใช้สิทธิ์อย่างถูกต้อง คุ้มค่า และปลอดภัยจากการตรวจสอบภาษีย้อนหลัง
สิทธิประโยชน์ทางภาษีแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก
✅ สิทธิประโยชน์จากการหักรายจ่ายเพิ่มขึ้น (Super Deduction)
✅ สิทธิประโยชน์จากการยกเว้นหรือลดอัตราภาษี
✅ สิทธิประโยชน์จากการคืนภาษีหรือขอคืน VAT
1. สิทธิประโยชน์จากการ “หักรายจ่ายเพิ่ม” ได้มากกว่าความเป็นจริง
การหักรายจ่ายเพิ่ม(Super Deduction) หมายถึง การที่บริษัทสามารถนำรายจ่ายบางประเภทมาหักภาษีได้มากกว่ามูลค่าที่จ่ายจริง เช่น จ่าย 100 บาท แต่สามารถหักได้ถึง 200% หรือ 2 เท่า ตัวอย่างสิทธิ์ที่นิยม ได้แก่:
1.1 หักรายจ่ายสำหรับฝึกอบรมพนักงาน
- ต้องเป็นการอบรมที่อยู่ในหลักสูตรของกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน หรือองค์กรที่ได้รับการรับรองสามารถหักรายจ่ายได้ถึง 200%📝 ตัวอย่าง: ค่าฝึกอบรม 100,000 บาท → หักภาษีได้ 200,000 บาท
1.2 หักรายจ่ายสำหรับการจ้างงานผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ
- ตามนโยบายส่งเสริมการมีงานทำสามารถหักได้มากถึง 2 เท่า ของเงินเดือนที่จ่ายจริง
1.3 หักรายจ่ายค่าซื้อเครื่องจักรหรือ Software สำหรับปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต
- ตามนโยบาย EEC หรือ Smart Factory หักได้ 1.5 – 2 เท่า หากเข้าหลักเกณฑ์ที่กำหนด
2. สิทธิประโยชน์จากการ “ยกเว้นภาษี” หรือ “ลดอัตรา”
บริษัทสามารถได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax) ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ หากเข้าเกณฑ์ดังนี้:
2.1 สิทธิ BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน)
- ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนาน 3–8 ปี
- ยกเว้นภาษีนำเข้าเครื่องจักร
- ขึ้นอยู่กับประเภทกิจการ เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล อุตสาหกรรมเป้าหมาย พลังงานสะอาด ฯลฯ
- ช่วยลดภาระภาษีได้อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ
2.2 สิทธิประโยชน์ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (EEC, เขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษชายแดน)
- ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ / ลดภาษีหัก ณ ที่จ่าย
- เงื่อนไขต้องมีการลงทุนขั้นต่ำ และจ้างแรงงานท้องถิ่น
2.3 บริษัทใหม่ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วงเริ่มต้น
- เช่น ได้รับอัตราภาษีลดลง 15% ในปีแรก และได้หักค่าใช้จ่ายบางประเภทเกินจริงได้ เช่น ค่าจัดตั้งบริษัท
3. สิทธิประโยชน์จากการ “ขอคืนภาษี” หรือ “VAT Refund”
3.1 ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund)
- หากบริษัทมีรายจ่ายมากกว่ารายรับในช่วงเริ่มต้น หรือส่งออกสินค้าและบริการ (ที่ได้รับยกเว้น VAT 0%) ต้องมีเอกสารครบถ้วน เช่น ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ, เอกสารประกอบการนำเข้า/ส่งออก
3.2 ขอคืนภาษีหัก ณ ที่จ่าย
- จากรายได้ที่ถูกหักไปโดยคู่ค้าสามารถขอคืนได้ในแบบ ภ.ง.ด.50 หรือ ภ.ง.ด.51 และจะต้องมีหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นหลักฐาน
สิ่งที่ควรระวังในการใช้สิทธิประโยชน์
- ใช้เอกสารปลอม หรือขาดหลักฐาน → เสี่ยงโดนตรวจสอบภาษีย้อนหลัง
- ใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อน เช่น หักค่าใช้จ่ายประเภทเดียวกันหลายสิทธิ์
- ละเลยการบันทึกบัญชีอย่างถูกต้อง → อาจโดนประเมินภาษีย้อนหลัง
- ไม่ศึกษาข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละสิทธิ์ เช่น ต้องขอยื่นล่วงหน้าหรือภายใน 60 วัน
วิธีเตรียมตัวเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ได้เต็มที่
✅ ปรึกษาสำนักงานบัญชีหรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีโดยตรง
✅ ตรวจสอบสิทธิ์ที่ธุรกิจมีสิทธิใช้ได้ (อ้างอิงจากกรมสรรพากร, BOI, กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน)
✅ วางแผนล่วงหน้าก่อนทำธุรกรรมหรือลงทุน
✅ เก็บเอกสารประกอบทุกขั้นตอนให้ครบถ้วน
✅ จัดระบบบัญชีอย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้
ตัวอย่างบริษัทที่ใช้สิทธิประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง
บริษัท A: ผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ
- ได้สิทธิ BOI → ยกเว้นภาษี 5 ปี
- ฝึกอบรมพนักงานผ่านกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน → หักค่าใช้จ่ายได้ 200%
- จ้างผู้สูงอายุและคนพิการ → หักค่าใช้จ่ายเพิ่ม
- ส่งออกสินค้าสุขภาพ → ขอคืน VAT ได้
สรุป: หากเข้าใจสิทธิ ก็สามารถลดภาระภาษีได้อย่างถูกกฎหมาย
การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ไม่ใช่เรื่องของการ “เลี่ยงภาษี” แต่คือการวางแผนภาษีอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคง พร้อมรักษาสภาพคล่องทางการเงิน และสามารถแข่งขันได้ในตลาดอย่างยั่งยืน