ทำไมเจ้าของธุรกิจควรรู้ความต่างของใบกำกับภาษีกับใบเสร็จรับเงิน?
แม้ว่า “ใบกำกับภาษี” และ “ใบเสร็จรับเงิน” จะเป็นเอกสารที่ออกให้ลูกค้าเมื่อมีการซื้อขาย แต่ในเชิงบัญชีและภาษี สองเอกสารนี้มีความหมาย หน้าที่ และผลทางกฎหมายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ SME หรือผู้ประกอบการที่จด VAT แล้วออกเอกสารผิด อาจเสี่ยงโดนสรรพากรปรับย้อนหลัง และลูกค้าก็ไม่สามารถนำไปใช้ขอคืนภาษีได้
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจแบบละเอียด พร้อมตัวอย่างเอกสารและแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง
1. ใบกำกับภาษีคืออะไร?
ใบกำกับภาษี (Tax Invoice) คือ เอกสารที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ออกให้กับลูกค้า เพื่อแสดงรายการสินค้า/บริการ และยอดภาษีมูลค่าเพิ่มแยกต่างหากจากราคาสินค้า
1.1 จุดประสงค์
- ใช้เป็นหลักฐานทางภาษีมูลค่าเพิ่ม
- ลูกค้าสามารถนำไปใช้ในการ “เครดิตภาษีซื้อ”
- ผู้ขายนำไปใช้เป็นหลักฐานยื่นภาษีขาย
1.2 ผู้ที่ต้องออกใบกำกับภาษี
- ผู้ประกอบการที่ “จดทะเบียน VAT” เท่านั้น
- หากยังไม่ได้จดทะเบียน VAT ห้ามออกใบกำกับภาษีเด็ดขาด
2. ใบเสร็จรับเงินคืออะไร?
ใบเสร็จรับเงิน (Receipt) คือ เอกสารที่แสดงว่าผู้ขายได้รับเงินจากลูกค้าแล้ว
2.1 จุดประสงค์
- ใช้เป็นหลักฐานการชำระเงิน
- ไม่สามารถนำไปเครดิตภาษีซื้อได้
- ใช้ประกอบการลงบัญชีในบางกรณี
2.2 ผู้ออก
- ทุกกิจการไม่ว่าจะเป็น บุคคลธรรมดา หรือบริษัทที่ยังไม่จด VAT ก็สามารถออกได้
3. ความแตกต่างระหว่างใบกำกับภาษีกับใบเสร็จรับเงิน
ประเด็น | ใบกำกับภาษี | ใบเสร็จรับเงิน |
ผู้มีสิทธิออก | ผู้จด VAT เท่านั้น | ทุกกิจการ |
จุดประสงค์ | แสดงภาษีมูลค่าเพิ่มแยกชัดเจน | ยืนยันการชำระเงิน |
ใช้เครดิตภาษีได้ไหม | ✅ ได้ | ❌ ไม่ได้ |
ต้องมีในระบบบัญชีหรือไม่ | ✅ จำเป็น | จำเป็น |
มีผลต่อการยื่นภาษีหรือไม่ | ✅ ใช้ยื่นภาษีขาย | ✅ ใช้ยืนยันการรับชำระ |
ข้อมูลที่ต้องมี | ชื่อ-ที่อยู่-เลขผู้เสียภาษีทั้งสองฝ่าย, รายการสินค้า, VAT / คำว่าใบกำกับภาษี / สำนักงานใหญ่ / วันที่ออก | ชื่อสินค้า, ราคา, วันที่ชำระเงิน |
4. ประเภทของใบกำกับภาษี
4.1 ใบกำกับภาษีอย่างเต็มรูป
เอกสารที่มีข้อมูลครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด เช่น:
- ชื่อ ที่อยู่ เลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขายและผู้ซื้อ
- เลขลำดับใบกำกับภาษี
- รายการสินค้า/บริการ
- ราคาสินค้า และภาษีแยก 7%
- วันเดือนปีที่ออกเอกสาร
- สำนักงานใหญ่ /สาขา
- คำว่าใบกำกับภาษี
4.2 ใบกำกับภาษีอย่างย่อ
ออกโดยธุรกิจทั่วไป เช่น ร้านอาหารที่ใช้ระบบ POS
- ไม่ต้องใส่ชื่อผู้ซื้อเหมาะกับลูกค้าทั่วไปที่ไม่ขอเครดิตภาษี
5. ตัวอย่างกรณีที่ต้องใช้ใบกำกับภาษี
- บริษัทซื้อของเพื่อไปใช้ในกิจการ และต้องการขอเครดิตภาษี
- ผู้ประกอบการจด VAT ที่ขายสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าองค์กร
หากไม่มีใบกำกับภาษี ลูกค้าจะไม่สามารถนำไปยื่นขอคืนภาษีได้ และผู้ขายอาจถูกปฏิเสธเอกสารหากถูกตรวจสอบ
6. ตัวอย่างกรณีที่ใบเสร็จรับเงินเพียงพอ
- ร้านค้า/บุคคลธรรมดาที่ยังไม่จด VAT
- การขายสินค้าที่ไม่อยู่ในข่ายต้องเสีย VAT (เช่น หนังสือ, สินค้าเกษตรไม่แปรรูป)
7. วิธีออกใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง
- ต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (13 หลัก) ของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ
- ใช้รูปแบบมาตรฐานที่กรมสรรพากรกำหนด
- ใช้โปรแกรมบัญชีที่สามารถออกเอกสารภาษีอย่างถูกต้อง เช่น Express, PEAK, FlowAccount, Odoo
- สำเนาใบกำกับภาษีต้องจัดเก็บไว้ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (5 ปี)
9. ความเสี่ยงหากออกเอกสารผิด
- ออกใบกำกับภาษีโดยไม่จด VAT → โดนปรับสูงสุด 2,000 บาท/ครั้ง
- ไม่ออกใบกำกับภาษีทั้งที่จด VAT แล้ว → ปรับ 2 เท่าของภาษี + เงินเพิ่ม
- เอกสารไม่ถูกต้อง/ไม่ครบถ้วน → ตรวจสอบย้อนหลังและถูกเรียกคืนภาษี
10. สรุป: ใบกำกับภาษี กับ ใบเสร็จรับเงิน
เอกสารทั้งสองชนิดนี้ไม่สามารถใช้แทนกันได้โดยสมบูรณ์ และมีผลกระทบทั้งในด้านบัญชี ภาษี และกฎหมาย หากผู้ประกอบการเข้าใจความแตกต่างอย่างถูกต้อง จะสามารถ:
- ออกเอกสารได้ตรงตามประเภทของธุรกิจ
- ป้องกันความเสี่ยงในการโดนตรวจสอบจากสรรพากร
- ช่วยให้ลูกค้านำเอกสารไปใช้ได้ถูกต้อง
- สร้างภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพให้กับธุรกิจ