ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง?

ขายออนไลน์ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง

ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง?

ขายของออนไลน์ทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง อาหารเสริม ของใช้ในบ้าน ผ่านทางแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook, TikTok, Instagram, Shopee หรือ Lazada ก็เริ่มขายได้ทันที แต่สิ่งที่หลายคน “ลืมคิด” หรือ “ยังไม่เข้าใจ” คือ เมื่อเริ่มขายแล้วกลายเป็น “ผู้มีรายได้” ที่ต้องเสียภาษี หลายคนสงสัยว่าการขายของออนไลน์จะต้องเสียภาษีอะไรบ้าง บทความนี้มีคำตอบค่ะ

ภาษีที่ผู้ประกอบการขายของออนไลน์ต้องรู้

การขายของออนไลน์ ไม่ว่าจะขายผ่านเพจส่วนตัว ร้านค้าออนไลน์ หรือแพลตฟอร์มใหญ่ ๆ มีภาษีหลักที่เกี่ยวข้อง 4 ประเภทคือ 

  1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90)
  2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50/51)
  3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%)
  4. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับกิจการค้าขายออนไลน์ทั่วไป

หลักการคือ “มีรายได้ = ต้องยื่นภาษี”

แม้จะขายของที่บ้าน ไม่มีหน้าร้าน หรือขายเฉพาะออนไลน์ รายได้ทั้งหมดจากการขายยังถือเป็น “เงินได้พึงประเมิน” ต้องนำมาคำนวณภาษีสิ้นปี โดยยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ถ้ามีรายได้หลายประเภท หรือ ภ.ง.ด.91 ถ้ามีเงินเดือนอย่างเดียว

ขายผ่านแพลตฟอร์มต้องแจ้งรายได้ไหม?

ปัจจุบันกรมสรรพากรสามารถตรวจสอบรายได้จากแพลตฟอร์ม e-commerce และจากบัญชีธนาคารที่มีการรับโอนซ้ำ ๆ ได้ หากมีรายได้ต่อเนื่อง ควรเก็บหลักฐานการขาย สลิป ใบสั่งซื้อ และทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายไว้เสมอ

2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับผู้ประกอบการที่จดบริษัท

เมื่อธุรกิจขยาย มียอดขายหลักล้าน หรือต้องการความน่าเชื่อถือทางธุรกิจ หลายคนเลือกจดบริษัท จำกัด ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้อง

  • ทำบัญชีรายเดือน/รายปี
  • ยื่นภาษี ภ.ง.ด.50 (สิ้นปี) และ ภ.ง.ด.51 (ครึ่งปี)
  • เสียภาษีในอัตรา 15–20% ของ “กำไรสุทธิ”

ข้อดีของการจดบริษัท

  • ภาษีคิดเฉพาะ “กำไรจริง” ไม่ใช่ยอดขาย
  • แยกเงินบริษัทออกจากเงินส่วนตัวชัดเจน
  • สามารถนำรายจ่ายทางธุรกิจ เช่น ค่าโฆษณา ค่าส่ง ค่าวัตถุดิบ มาหักได้
  • มีโอกาสขยายธุรกิจ ขอสินเชื่อ และร่วมงานกับองค์กรใหญ่

3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

ถ้ากิจการมีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี ต้อง “จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม” ภายใน 30 วัน นับแต่รายได้ถึงเกณฑ์

ถ้าจด VAT แล้ว ต้องทำอะไรบ้าง?

  1. เก็บ VAT 7% จากลูกค้า
  2. นำส่ง VAT (ภ.พ.30) ทุกเดือน ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
  3. เครดิตภาษีขาย–ภาษีซื้อ ได้ตามหลักเกณฑ์

ถ้ายังไม่ถึงเกณฑ์? : ไม่ต้องจด VAT และห้ามเรียกเก็บ VAT จากลูกค้า

4. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (WHT)

ภาษีที่ผู้จ่ายเงิน ต้องหักไว้ส่วนหนึ่งก่อนจ่ายให้ผู้รับแล้วนำส่งกรมสรรพากรแทนผู้รับเงิน ถ้าเป็นบริษัท แล้วจ่ายค่าบริการให้คนอื่นจะต้องหักภาษีไว้ก่อน และ นำส่งภาษีภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป

พอถึงปลายปีคุณสามารถนำ “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” ที่ลูกค้าออกให้ มาหักเป็นเครดิตภาษีตอนยื่น ภ.ง.ด.90 ได้อีกด้วย

 5. ภาษีจากโฆษณาออนไลน์ (Facebook / Google / TikTok)

การยิงแอดออนไลน์ก็มีภาษีที่เกี่ยวข้องเช่นกัน

  • ถ้าซื้อโฆษณาจากต่างประเทศ (Facebook, Google, TikTok) ต้องชำระ VAT 7% ผ่านแบบ    ภ.พ.36
  • ถ้าซื้อจากเอเจนซี่ในไทย ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% และใช้ใบกำกับภาษีเพื่อเครดิต VAT ได้

ถ้าดำเนินกิจการเป็นบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้จด VATแพลตฟอร์มจะคิด VAT 7% ให้เอง

6. ภาษีศุลกากร (กรณีนำเข้าสินค้า)

ถ้าขายสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ Gadget ฯลฯ ต้องเสียภาษีนำเข้า เช่น

  • อากรขาเข้า (Import Duty)
  • ภาษีมูลค่าเพิ่มนำเข้า (VAT 7%)

กรณีสินค้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาทต่อชิ้น (รวมค่าส่ง) อาจได้รับยกเว้น แต่ถ้าสั่งจำนวนมากหรือมีมูลค่าสูง จะต้องชำระภาษีตามจริง

สรุป

ขายของออนไลน์ = ต้องเสียภาษีเหมือนขายหน้าร้าน เพียงแต่รูปแบบการยื่นและการคำนวณอาจต่างไปเล็กน้อย หากเริ่มขายของออนไลน์แล้วมีรายได้สม่ำเสมอ ควรเริ่มจัดระบบภาษีให้ถูกต้อง

  • ถ้ารายได้ยังไม่เยอะ: เก็บหลักฐานรายรับ–รายจ่ายให้ครบ
  • ถ้าเริ่มเติบโต : พิจารณาจดทะเบียนบริษัท และจด VAT เพื่อบริหารภาษีและความน่าเชื่อถือในระยะยาว

การจัดการภาษีได้ถูกต้อง คือความยั่งยืนของกิจการในระยะยาว อย่ารอให้สรรพากรเรียกย้อนหลัง เพราะตอนนั้น “ภาษี + เบี้ยปรับ + เงินเพิ่ม” อาจมากกว่าผลกำไรที่ได้มา เริ่มตรวจรายได้วันนี้ เพื่อยื่นภาษีให้ถูกต้อง และทำให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตอย่างมั่นใจ