ความรับผิดชอบทางกฎหมายของบริษัทและหจก.
การประกอบธุรกิจในประเทศไทยมีหลายรูปแบบ แต่ที่พบมากที่สุดคือ บริษัทจำกัด (บจก.)และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด (หจก.) ทั้งสองรูปแบบมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่กฎหมายรับรอง มีสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมายแยกจากผู้เป็นเจ้าของ แต่ในรายละเอียดเกี่ยวกับ ความรับผิดชอบทางกฎหมาย กลับแตกต่างกันอย่างมาก
บทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดถึงความแตกต่างระหว่าง “บริษัท” และ “หจก.” รวมถึงหน้าที่และความรับผิดชอบทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการควรทราบก่อนตัดสินใจเลือกใช้รูปแบบธุรกิจ
ความหมายและลักษณะทั่วไป
1. บริษัทจำกัด
- เป็นนิติบุคคลที่ผู้ถือหุ้นร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อแสวงหากำไร
- ผู้ถือหุ้นมีหน้าที่รับผิดชอบต่อหนี้สินของบริษัทไม่เกินจำนวนเงินค่าหุ้นที่ยังไม่ได้ชำระ
- มีโครงสร้างการบริหารอย่างชัดเจน
- ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชน/บริษัทจำกัด และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
2. ห้างหุ้นส่วนจำกัด (Limited Partnership: หจก.)
- มีหุ้นส่วน 2 ประเภท
- หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด : ต้องรับผิดชอบหนี้สินของหจก. ทั้งหมด
- หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด : รับผิดชอบเพียงจำนวนเงินที่ลงทุน
- การบริหารจัดการขึ้นอยู่กับหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดเป็นหลัก
- จัดตั้งง่ายและใช้ทุนเริ่มต้นไม่สูง
ความรับผิดชอบทางกฎหมายของบริษัท
1. ความรับผิดด้านหนี้สิน
- บริษัทเป็นนิติบุคคลแยกจากผู้ถือหุ้น หากบริษัทมีหนี้ ผู้ถือหุ้นไม่ต้องรับผิดด้วยทรัพย์สินส่วนตัว (ยกเว้นยังไม่ได้ชำระค่าหุ้นครบ)
- เจ้าหนี้ฟ้องร้องบริษัทได้ แต่ไม่สามารถไปยึดทรัพย์ส่วนตัวของผู้ถือหุ้นได้
2. ความรับผิดด้านภาษี
- บริษัทต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล
- ต้องยื่น VAT (ถ้ามีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี)
- หากไม่ปฏิบัติตาม มีโทษปรับทั้งทางแพ่งและอาญา
3. ความรับผิดด้านแรงงาน
- บริษัทมีหน้าที่ตามกฎหมายแรงงาน เช่น จ่ายค่าจ้างตรงเวลา จ่ายค่าชดเชยเลิกจ้าง ฯลฯ
- หากละเมิดสิทธิแรงงาน บริษัทต้องชดใช้ค่าเสียหาย
4. ความรับผิดด้านการบริหารงานของกรรมการ
- กรรมการบริษัทต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
- หากกรรมการทำให้บริษัทเสียหาย เช่น ทุจริต หรือไม่ยื่นงบการเงิน กรรมการต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวด้วย
5. ความรับผิดด้านกฎหมายพิเศษ
- หากบริษัทประกอบธุรกิจที่ต้องมีใบอนุญาต (เช่น ขายสุรา นำเที่ยว สปา) → หากฝ่าฝืน ผู้บริหารและบริษัทต้องร่วมรับผิด
ความรับผิดชอบทางกฎหมายของห้างหุ้นส่วนจำกัด
1. ความรับผิดด้านหนี้สิน
- หุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด หมายถึง หากหจก.มีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน หุ้นส่วนผู้จัดการต้องใช้หนี้ด้วยทรัพย์สินส่วนตัว
- หุ้นส่วนจำกัดความรับผิด จะรับผิดชอบเพียงจำนวนเงินที่ลงทุนไป
2. ความรับผิดด้านภาษี
- หจก.มีสถานะเป็นนิติบุคคล : ต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลเหมือนบริษัท
- หากไม่ยื่นภาษีให้ถูกต้องหุ้นส่วนผู้จัดการมีสิทธิถูกดำเนินคดี
3. ความรับผิดด้านแรงงาน
- เช่นเดียวกับบริษัท ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน
- หากมีการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม หจก.และหุ้นส่วนผู้จัดการอาจถูกฟ้อง
4. ความรับผิดจากการจัดการที่ผิดพลาด
- หากหุ้นส่วนผู้จัดการบริหารไม่โปร่งใส หรือยักยอกเงิน หุ้นส่วนคนอื่นสามารถฟ้องร้องได้
- เจ้าหนี้สามารถฟ้องหุ้นส่วนผู้จัดการโดยตรง
โทษและความเสี่ยงหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
1. ไม่ยื่นงบการเงิน
- เสียค่าปรับตามอัตราที่กฎหมายกำหนด
- กรรมการบริษัท/หุ้นส่วนผู้จัดการมีโทษปรับส่วนบุคคล
2. การเลี่ยงภาษี
- ถูกปรับเงินเพิ่ม เบี้ยปรับ หรือมีโทษทางอาญา จำคุกสูงสุด 7 ปี
3. ละเมิดแรงงาน
- ถูกสั่งจ่ายค่าชดเชย/ค่าปรับ และกิจการเสียชื่อเสียงต่อสาธารณะ
4. บริหารไม่สุจริต
- หุ้นส่วน/กรรมการถูกฟ้องร้องส่วนตัว
- ถูกตัดสิทธิ์ดำรงตำแหน่งกรรมการในอนาคต
ข้อแนะนำสำหรับผู้ประกอบการ
1. เลือกโครงสร้างธุรกิจให้เหมาะสม
- หากต้องการจำกัดความเสี่ยง : “บริษัทจำกัด”
- หากทำธุรกิจเล็ก ครอบครัว และไว้ใจหุ้นส่วน : “ห้างหุ้นส่วนจำกัด”
2. ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
- จัดทำบัญชีถูกต้อง
- ยื่นงบการเงินและภาษีให้ตรงเวลา
3. แยกบัญชีธุรกิจและบัญชีส่วนตัว
- ป้องกันปัญหาการรับผิดหนี้ด้วยทรัพย์สินส่วนบุคคล
4. มีที่ปรึกษากฎหมายและบัญชี
- เพื่อป้องกันการละเมิดที่อาจนำไปสู่โทษทางแพ่ง/อาญา
สรุป
- บริษัทจำกัด : ความรับผิดของผู้ถือหุ้น “จำกัด” ตามมูลค่าหุ้นที่ถือ กรรมการต้องบริหารด้วยความสุจริต หากผิดพลาดต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวบางกรณี
- หจก. : หุ้นส่วนผู้จัดการ “รับผิดไม่จำกัด” หากหจก.มีหนี้เกินทรัพย์สิน หุ้นส่วนผู้จัดการต้องใช้หนี้ด้วยทรัพย์สินส่วนตัว
- ทั้งบริษัทและหจก. มีหน้าที่ตามกฎหมายภาษี แรงงาน และกฎหมายพิเศษ หากไม่ปฏิบัติตาม อาจถูกปรับ จำคุก หรือเพิกถอนทะเบียน
ดังนั้น การเลือกโครงสร้างธุรกิจไม่ใช่เพียงเรื่องการจัดตั้งที่ง่ายหรือยาก แต่เป็นเรื่องของ ความรับผิดชอบทางกฎหมาย ที่ผู้ประกอบการต้องยอมรับและเตรียมพร้อม