เอกสารอะไรบ้างที่ควรเก็บไว้เผื่อการตรวจสอบภาษี?
ปัจจุบันกรมสรรพากรมีเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลภาษีอย่างครอบคลุม การยื่นแบบภาษีอย่างถูกต้องเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ หากไม่มีเอกสารประกอบการยื่นที่ครบถ้วนและถูกต้อง เจ้าของธุรกิจอาจเผชิญกับปัญหาเมื่อต้องชี้แจงกับเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ไม่ว่าจะเป็นการถูกขอเอกสารตรวจสอบย้อนหลัง หรือแม้แต่การถูกตีตกการหักรายจ่าย ส่งผลให้ภาษีที่ต้องชำระเพิ่มขึ้น
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับเอกสารสำคัญที่ธุรกิจทุกประเภทควรเก็บรักษาให้ดี เพื่อรองรับการตรวจสอบภาษีอย่างมืออาชีพ
ทำไมต้องเก็บเอกสาร? เหตุผลที่คุณไม่ควรมองข้าม
การเก็บเอกสารไม่ใช่เพียงเพราะกฎหมายบังคับ แต่ยังเป็น “เกราะป้องกัน” สำคัญของธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อเกิดกรณีต่อไปนี้:
- ถูกสุ่มตรวจสอบจากกรมสรรพากร
- มีข้อสงสัยเกี่ยวกับยอดรายได้หรือรายจ่าย
- ต้องพิสูจน์สิทธิในการหักรายจ่าย/ภาษีซื้อ
- ขัดแย้งกับคู่ค้าเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มหรือเครดิตภาษี
- ถูกตรวจสอบย้อนหลังย้อนหลังหลายปี
📍 หากไม่มีเอกสารรองรับ ธุรกิจอาจถูกประเมินภาษีเพิ่มเติม เสียเบี้ยปรับ และเงินเพิ่มทันที
ประเภทเอกสารที่ควรเก็บ
1. ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ : ใช้เป็นหลักฐานในการหักภาษีซื้อ หรือแสดงรายได้ของกิจการ
ควรเก็บทั้งภาษีขายและภาษีซื้อ โดยต้องมีองค์ประกอบครบ 8 ข้อ เช่น ชื่อผู้ขาย/ผู้ซื้อ, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี, รายการสินค้า/บริการ, VAT 7%, วันเดือนปีที่ออกเอกสาร , คำว่าใบกำกับภาษี , สำนักงานใหญ่หรือสาขา
2. ใบเสร็จรับเงิน / เอกสารรับชำระเงิน : ใช้ประกอบการพิสูจน์ว่ามีการชำระเงินจริง เช่น การจ่ายค่าที่ปรึกษา, ค่าอบรม, ค่าเดินทาง, ค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ด แม้จะไม่มี VAT ก็ยังต้องมีใบเสร็จหรือหลักฐานการจ่ายเงิน
3. ใบแจ้งหนี้ และใบสั่งซื้อ : เพื่อแสดงเจตนาและการตกลงก่อนเกิดรายจ่าย
- ใบแจ้งหนี้เป็นตัวกำหนดยอดที่ต้องชำระ
- ใบสั่งซื้อแสดงการตกลงสั่งสินค้า/บริการไว้ล่วงหน้า
4. หลักฐานการจ่ายเงิน : เช่น สลิปโอน, สำเนาเช็ค, รายการเดินบัญชี (Statement) ช่วยยืนยันว่า มีการจ่ายเงินจริง ไม่ใช่รายจ่ายปลอม หรือเป็นการแอบอ้าง
5. หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด.3 / ภ.ง.ด.53) : สำคัญมากสำหรับรายจ่ายที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น ค่าจ้างฟรีแลนซ์, ค่าบริการ ฯลฯ ผู้จ่ายต้องหักภาษีตามอัตรา และออกหนังสือรับรองให้ผู้รับ พร้อมนำส่งกรมสรรพากรภายในกำหนด
6. แบบแสดงรายการภาษี (ทุกประเภท) : ได้แก่ ภ.พ.30 , ภ.ง.ด.1 , ภ.ง.ด.3 / 53 , ภ.ง.ด.50 , ภ.ง.ด.51 ต้องเก็บสำเนาไว้ทุกแบบ พร้อมหลักฐานการชำระภาษี
7. เอกสารประกอบการหักค่าใช้จ่าย : เช่น
- แบบฟอร์มเบิกเงิน
- ใบเบิกเบี้ยเลี้ยง
- รายงานการเดินทาง
- บันทึกการประชุมที่เกี่ยวข้อง
- รูปถ่ายหน้างาน/อบรม/กิจกรรมที่อ้างเป็นรายจ่าย
8. สัญญาและข้อตกลงทางธุรกิจ : สัญญาจ้าง, สัญญาเช่า, สัญญารับงาน, ข้อตกลงการร่วมลงทุน ฯลฯ ช่วยพิสูจน์ที่มาของรายได้-รายจ่ายอย่างชัดเจน
9. เอกสารทางทรัพย์สิน : ทะเบียนทรัพย์สิน, สัญญาซื้อขาย, บันทึกค่าเสื่อมราคา, ใบซ่อมบำรุง ฯลฯ สำคัญในการหักค่าเสื่อม, ค่าใช้จ่ายซ่อมแซม และกำไรจากการขายสินทรัพย์
10. รายงานทางบัญชี : งบการเงิน, งบทดลอง, รายงานภาษีซื้อ-ขาย, สมุดรายวัน, รายงานแยกประเภท ถือเป็น “หลักฐานกลาง” ที่เจ้าหน้าที่ใช้ตรวจสอบข้อมูลจริง
ระยะเวลาที่ควรเก็บเอกสาร: ตามกฎหมายและความปลอดภัย
ประเภทเอกสาร | ระยะเวลาที่ควรเก็บ |
ใบกำกับภาษี / ใบเสร็จ | อย่างน้อย 5 ปี |
แบบแสดงรายการภาษี | 5 ปี |
งบการเงิน / งบทดลอง | 5 ปี |
สัญญา / เอกสารสำคัญ | 5–10 ปี หรือจนกว่าสัญญาสิ้นสุด |
หลักฐานซื้อ–ขายทรัพย์สิน | ตลอดอายุการใช้งาน + 5 ปี |
หมายเหตุ:
กรณีที่มีการตรวจสอบย้อนหลัง หรือมีข้อพิพาทกับคู่ค้า ควรเก็บเอกสารไว้ เกิน 5 ปี เพื่อความปลอดภัย
เก็บเอกสารอย่างไรให้ปลอดภัย ไม่สูญหาย
- เก็บต้นฉบับในแฟ้มแยกประเภท เช่น แยกเป็นแฟ้ม “รายจ่าย”, “ภาษีซื้อ”, “ภาษีขาย”, “สัญญา”, “เงินเดือน” ฯลฯ
- ทำสำเนาดิจิทัลด้วยการสแกนเก็บ เก็บไว้ใน Cloud เช่น Google Drive, Dropbox, OneDrive
- ตั้งชื่อไฟล์ให้เข้าใจง่าย เช่น ใบกำกับภาษี_บริษัทABC_01-03-2025.pdf
- ตั้งระบบ Index หรือ Reference รหัสเอกสาร เพื่อค้นหาเร็ว เช่น PO-001, INV-2025-003
- ควรสำรองข้อมูลอย่างน้อย 2 ที่ (Hard drive + Cloud) ป้องกันกรณีไฟไหม้, โจรกรรม, หรือฮาร์ดแวร์เสีย
สรุปเอกสารที่ดี คือ “หลักฐานความบริสุทธิ์” ของธุรกิจคุณ
การเก็บเอกสารอย่างครบถ้วน เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรปลูกฝังภายในขององค์กร เพราะเอกสารเหล่านี้คือหลักฐานที่สำคัญที่สุดในการพิสูจน์ความถูกต้องของบัญชี และช่วยให้คุณมั่นใจว่า หากวันหนึ่งถูกเรียกตรวจสอบ ก็สามารถปกป้องสิทธิ์ของตนเองได้อย่างมืออาชีพ
“บัญชีที่ดี ต้องมีหลักฐานยืนยัน” และ “ภาษีที่ปลอดภัย เริ่มจากเอกสารที่คุณเก็บไว้”