

เมื่อผู้ประกอบการตัดสินใจจดทะเบียนบริษัท ไม่ว่าจะเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ทำธุรกิจอย่างเป็นระบบ หรือเตรียมขยายกิจการในอนาคต หลายคนมักเข้าใจว่าเพียงแค่จดทะเบียนบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้เรียบร้อย ก็ถือว่าทำหน้าที่ผู้ประกอบการครบถ้วนแล้ว แต่ในความเป็นจริง การเปิดบริษัทไม่ได้จบแค่ “การจดทะเบียน” เท่านั้น ยังมีภาระหน้าที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ตามมาอย่างสม่ำเสมอ นั่นคือ การยื่นเอกสารและภาษีต่อหน่วยงานภาครัฐ “ทุกเดือน”
บทความนี้จะอธิบายให้คุณเข้าใจว่า เมื่อเปิดบริษัทแล้วต้องยื่นอะไรบ้างในแต่ละเดือน พร้อมแนะนำแนวทางจัดการอย่างถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับไม่จำเป็น
หลังจากเปิดบริษัทและได้รับหนังสือรับรองนิติบุคคลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว บริษัทจะเข้าสู่สถานะ “นิติบุคคลที่มีหน้าที่ทางภาษีและบัญชี” โดยมีภาระที่ต้องดำเนินการทุกเดือน แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่
การหักภาษี ณ ที่จ่ายเป็นภาระหน้าที่ของบริษัทที่มีการจ่ายค่าตอบแทน ค่าจ้าง หรือค่าบริการให้กับบุคคลอื่น เช่น พนักงาน หรือผู้ให้บริการภายนอก โดยต้องหักภาษีไว้ก่อนและนำส่งกรมสรรพากรในเดือนถัดไป
ใช้ในกรณีจ่ายเงินเดือน ค่าจ้าง หรือค่าล่วงเวลาให้กับพนักงาน ยื่นไม่เกินวันที่ 7 ของเดือนถัดไป (ถ้ายื่นออนไลน์ ขยายถึงวันที่ 15)
ใช้ในกรณีจ่ายค่าจ้างให้บุคคลธรรมดาภายนอก เช่น ฟรีแลนซ์ วิทยากร ผู้ให้บริการทั่วไป ยื่นภายในวันที่ 7 (หรือ 15 กรณียื่นออนไลน์)
ใช้ในกรณีจ่ายค่าบริการให้กับนิติบุคคล เช่น ค่าซ่อมแซม ค่าสอบบัญชี ค่าที่ปรึกษา ยื่นภายในวันที่ 7 (หรือ 15 กรณียื่นออนไลน์)
หมายเหตุ: บริษัทต้องออกหนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้ผู้รับเงินทุกครั้ง
2. การยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30)
สำหรับบริษัทที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ (1.8 ล้านบาทต่อปี) จะต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 ทุกเดือน ไม่ว่าจะมีรายได้หรือไม่ก็ตาม
เป็นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่แสดงภาษีขายที่เก็บจากลูกค้าและภาษีซื้อที่จ่ายจากการซื้อสินค้า/บริการ ต้องยื่นภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดไปแบบออนไลน์
การยื่นภ.พ.30 ต้องแนบรายงานภาษีซื้อ-ภาษีขาย รวมถึงจัดเก็บใบกำกับภาษีทุกฉบับให้เรียบร้อย หากผิดพลาดอาจโดนเรียกตรวจย้อนหลังได้
หากบริษัทมีลูกจ้างอย่างน้อย 1 คน บริษัทต้องขึ้นทะเบียนเป็นนายจ้างกับสำนักงานประกันสังคม และนำส่งเงินสมทบให้ทั้งในส่วนของบริษัทและลูกจ้างทุกเดือน
คำตอบคือ “ต้องยื่น” แม้บริษัทจะยังไม่มีรายได้ในช่วงแรก หรือยังไม่มีพนักงาน แต่ถ้ามีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มหรือมีการจ่ายค่าบริการ คุณต้องยื่นแบบตามปกติในทุกเดือนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริษัทไม่มีสถานะ “ขาดยื่น” ซึ่งอาจนำไปสู่ค่าปรับหรือการถูกระงับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
การบริหารจัดการภาษีรายเดือนของบริษัทอาจดูยุ่งยากในช่วงแรก โดยเฉพาะถ้าผู้ประกอบการไม่มีความรู้บัญชีหรือไม่มีแผนกบัญชีภายใน ดังนั้นควรเตรียมระบบให้พร้อมตั้งแต่ต้น ได้แก่:
📌 จ้างสำนักงานบัญชีมืออาชีพ หรือผู้ทำบัญชีที่ขึ้นทะเบียน
📌 ใช้ซอฟต์แวร์บัญชีช่วยจัดการเอกสาร
📌 สรุปยอดรายรับ–รายจ่ายทุกสิ้นเดือนอย่างสม่ำเสมอ
📌 แยกบัญชีบริษัทออกจากบัญชีส่วนตัวโดยเด็ดขาด
การจัดการที่ดีจะช่วยให้คุณไม่ตกหล่นในการยื่นแบบ ลดความเสี่ยงถูกตรวจสอบ และช่วยประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
การเปิดบริษัทคือก้าวแรกของการเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างมืออาชีพ แต่การรักษาสถานะบริษัทให้ถูกต้องต่อเนื่องทุกเดือนคือหัวใจสำคัญที่ผู้ประกอบการต้องใส่ใจ ความรู้เรื่องการยื่นภาษี การจัดทำบัญชี และการส่งเอกสารต่อหน่วยงานรัฐคือหน้าที่ที่เลี่ยงไม่ได้
หากคุณรู้สึกว่ายากหรือไม่มั่นใจ การมีผู้ช่วยด้านบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษีที่ไว้ใจได้ จะช่วยให้คุณมุ่งเน้นไปที่การทำธุรกิจ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารหรือค่าปรับที่อาจตามมาโดยไม่ตั้งใจ เริ่มต้นให้ถูกต้องตั้งแต่วันนี้ ธุรกิจของคุณจะเติบโตอย่างมั่นคงในวันหน้า