

สำหรับเจ้าของธุรกิจบางราย การจดทะเบียนบริษัทมากกว่า 1 บริษัทอาจเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการขยายกิจการ แยกประเภทสินค้าหรือบริการ หรือบริหารจัดการภายในได้สะดวกขึ้น แต่ในอีกมุมหนึ่ง การมีหลายบริษัทในชื่อหรือกลุ่มคนเดิม ๆ อาจทำให้กรมสรรพากรเริ่ม “จับตา” และพิจารณาว่าอาจมีเจตนาเลี่ยงภาษีแฝงอยู่
แม้การจดบริษัทหลายแห่งไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายโดยตรง แต่หากมีลักษณะการดำเนินงานที่เข้าข่าย “หลีกเลี่ยงภาษีโดยไม่สุจริต” อาจนำไปสู่การตรวจสอบย้อนหลัง และเสียค่าปรับจำนวนมาก
เจ้าของธุรกิจบางรายจดหลายบริษัทเพื่อกระจายยอดขาย เช่น
– บริษัท A รายได้ 2 ล้านบาท
– บริษัท B รายได้ 2 ล้านบาท
รวมกันคือ 4 ล้านบาท ซึ่งถึงเกณฑ์ต้องจด VAT แต่แยกกันทำให้แต่ละบริษัทไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
แม้ดูเหมือนถูกต้อง แต่ถ้าทั้ง 2 บริษัทมีสถานประกอบการเดียวกัน ลูกค้ากลุ่มเดียวกัน หรือมีการดำเนินการร่วมกันจริง สรรพากรจะถือว่าจงใจหลีกเลี่ยงภาษี และเรียกตรวจสอบย้อนหลัง
อีกวิธีหนึ่งที่พบได้คือ การตั้งบริษัทในเครือหลายแห่งแล้วมีการซื้อ–ขายกันเอง เช่น บริษัท A มีกำไรสูง จึงไปซื้อสินค้าจากบริษัท B ที่ตั้งราคาสูงเกินจริง เพื่อทำให้ A มีกำไรน้อยลง เสียภาษีน้อยลง และโยกกำไรไปอยู่กับ B ที่อาจมีสิทธิประโยชน์ทางภาษี
กรณีแบบนี้สรรพากรจะใช้หลัก “ราคาตลาด” และ “ธุรกรรมระหว่างบุคคลหรือกิจการที่มีความสัมพันธ์กัน” มาพิจารณา หากพบว่าไม่เป็นธรรม ย่อมสามารถเรียกปรับโครงสร้างและคิดภาษีย้อนหลังได้
บางธุรกิจอาจมีการตั้งหลายบริษัทโดยใช้ชื่อพ่อแม่ ญาติ หรือเพื่อนร่วมงาน เพื่อไม่ให้ดูว่าเป็นกิจการเดียวกัน แต่เบื้องหลังมีเจ้าของเดียวบริหารทั้งหมด หากสรรพากรตรวจสอบแล้วพบว่าเป็น “นิติบุคคลกลุ่มเดียวกัน” ก็จะรวมรายได้และภาษีเข้าด้วยกันทันที
ดังนั้น สรรพากรจึงมีระบบ วิเคราะห์ความเสี่ยง (Risk Analysis) และเชื่อมโยงข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น การขอใบอนุญาต, ข้อมูล VAT, การยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล, และการเคลื่อนไหวบัญชีธนาคาร หากพบความผิดปกติ ก็มีสิทธิเรียกตรวจสอบและดำเนินคดีภาษีทันที