

ในการวางระบบบัญชีของบริษัท หนึ่งในจุดที่มักเกิดความผิดพลาดคือการนำ รายจ่ายที่ไม่สามารถหักภาษีได้ หรือ ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการ มาบันทึกเป็น “ค่าใช้จ่ายของบริษัท” เพื่อจะลดภาษีเงินได้นิติบุคคล
แต่ในความเป็นจริง สรรพากรมีแนวทางการตรวจสอบที่ชัดเจน และหากพบว่าบันทึกค่าใช้จ่ายต้องห้ามเข้ามา อาจ ไม่ได้สิทธิ์หักภาษี และยังอาจโดน เบี้ยปรับเงินเพิ่มย้อนหลัง ได้อีกด้วย
เช่น ค่าเลี้ยงสังสรรค์ส่วนตัว ค่าอาหารในวันหยุด หรือของใช้ที่ไม่เกี่ยวกับภายในบริษัท
เหตุผล: ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจการ แม้จะใช้จ่ายของบริษัทก็ตาม ถือเป็น “สวัสดิการส่วนตัว” ถ้าเหตุผลไม่เพียงพอและไม่มีเอกสารหลักฐานที่น่าเชื่อถือ
หากไม่ใช่ทริปดูงานหรือเจรจาธุรกิจโดยตรง และไม่มีหลักฐานการประชุม จะถือเป็นสวัสดิการส่วนตัว
การซื้อของแจก เช่น นาฬิกา ทอง กระเป๋า ฯลฯ โดยไม่มีใบเสร็จ หรือใบเสร็จไม่ระบุชื่อบริษัท
เช่น จ้างฟรีแลนซ์ออกแบบ 20,000 บาท แต่ไม่มีหนังสือรับรองหัก ณ ที่จ่าย 3% แนบ
แก้ไข: ออกแบบฟอร์มจ่ายเงินที่มี “ใบหัก ณ ที่จ่าย” ทุกครั้งที่จ่ายให้บุคคลธรรมดา
ซื้อคอมพิวเตอร์หลายชุด แต่ไม่สามารถแสดงการใช้งานจริงได้ หรือไม่มีรายการตัดจ่ายในระบบ
เช่น ค่าเช่าเดือนละ 150,000 บาทในทำเลที่ราคาตลาดแค่ 30,000 บาท
สรรพากรจะใช้วิธี “ตีราคาตลาด” หากเห็นว่ารายจ่ายเกินจริง
เช่น ค่าปรับจากการยื่นแบบล่าช้า หรือดอกเบี้ยเงินเพิ่ม ถือเป็น “รายจ่ายต้องห้าม”
เช่น ค่าความเสียหายจากการละเมิดกฎหมาย ของศุลกากรหรือสรรพสามิต
หากรถคนนั้นไม่ได้นำมาใช้งานในบริษัทจริงจะไม่สามารถหักรายจ่ายได้
เว้นแต่ว่าบริษัทใช้บ้านเป็นสำนักงานจดทะเบียนอย่างเป็นทางการ และมีการคิดอัตราส่วนที่เหมาะสม
หากใช้งานร่วมกัน แนะนำให้แยกค่าใช้จ่ายเป็นสัดส่วนที่ชัดเจน เช่น 70% ใช้งานส่วนตัว 30% ใช้ทำงาน
ออกโดยผู้ขายที่ไม่มีอยู่จริง หรือบริษัทที่ถูกระงับ VAT แล้ว
กรณีนี้ถือว่ามีเจตนาเลี่ยงภาษี → ลงโทษรุนแรงถึงขั้นถูกฟ้องร้องอาญา
แนวทางปฏิบัติสำหรับเจ้าของกิจการ
การบันทึกค่าใช้จ่ายให้ถูกต้องไม่ใช่แค่เรื่องของ “ลดหย่อนภาษี” เท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของ ความโปร่งใส ความน่าเชื่อถือ และความปลอดภัยในการตรวจสอบย้อนหลัง
ทุกรายการที่บันทึกในบัญชี ต้องสามารถตอบคำถามสรรพากรได้ว่า: “จำเป็นต้องใช้เพื่อประกอบกิจการหรือไม่?” หากตอบไม่ได้ นั่นแปลว่ารายจ่ายนั้นไม่ควรอยู่ในบัญชีหรือต้องบวกกลับให้สรรพากร