ถ้าจดทะเบียนบริษัทแล้ว แต่ไม่ได้ดำเนินกิจการ ต้องทำอะไรบ้าง?

ถ้าจดทะเบียนบริษัทแล้ว แต่ไม่ได้ดำเนินกิจการ ต้องทำอะไรบ้าง

การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นก้าวสำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เจ้าของบริษัทอาจจดทะเบียนไปแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินกิจการจริง ไม่ว่าจะเป็นเพราะธุรกิจยังไม่พร้อม หรือเปลี่ยนแผนกะทันหัน การปล่อยให้บริษัทที่จดทะเบียนไว้อยู่เฉย ๆ โดยไม่ดำเนินการใด ๆ อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับที่ไม่คาดคิด

ดังนั้น หากจดทะเบียนบริษัทแล้วแต่ยังไม่ได้ดำเนินกิจการ ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภายหลัง

ขั้นตอนที่ต้องทำหากจดทะเบียนบริษัทแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินกิจการ

1. ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51) แม้ไม่มีรายได้
บริษัทต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกปี
– หากไม่มีรายได้ ให้กรอก “ไม่มีรายได้” หรือ “ขาดทุน”
– ภ.ง.ด.51 (กลางปี) ต้องยื่นภายในเดือนสิงหาคม
– ภ.ง.ด.50 (สิ้นปี) ต้องยื่นภายใน 150 วันหลังปิดรอบบัญชี

หากไม่ยื่น อาจถูกปรับเริ่มต้นที่ 2,000 บาท และอาจถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง

2. ยื่นงบการเงินประจำปี (แม้ไม่มีรายการเดินบัญชี)
– ทุกบริษัทต้องส่งงบการเงินต่อ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ภายใน 5 เดือนหลังสิ้นปีบัญชี
– ถ้าไม่มีรายได้ ให้ทำ “งบเปล่า” และให้ผู้สอบบัญชีรับรอง

หากไม่ยื่น อาจถูกปรับสูงสุดถึง 200,000 บาท

3. ยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เป็น 0 บาท ทุกเดือน (ถ้าจด VAT ไว้)
– ถ้าบริษัทเคยจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ไว้ ต้องยื่นแบบ ภ.พ.30 เป็น “0 บาท” ทุกเดือน
– หากไม่ยื่น จะถูกค่าปรับและเบี้ยปรับจากกรมสรรพากร

4. แจ้งหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว (หากยังไม่ต้องการปิดบริษัทถาวร)
– แจ้งหยุดดำเนินกิจการชั่วคราว ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้
– ต้องยื่นแบบ บอจ.5 หรือทำหนังสือขอหยุดดำเนินธุรกิจ
– การแจ้งหยุดกิจการช่วยลดภาระภาษีและค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น

5. แจ้งกรมสรรพากร หากไม่มีรายได้จริง ๆ
– แจ้งกรมสรรพากรเพื่อขอหยุดเสียภาษีชั่วคราว
– ต้องยื่นเอกสารยืนยันว่าบริษัทไม่มีการประกอบกิจการและไม่มีรายได้

6. ถ้าไม่ใช้บัญชีธนาคารของบริษัทแล้ว ควรปิดเพื่อลดค่าใช้จ่าย