ภาษีคือสิ่งที่วางแผนได้ ไม่ใช่แค่เรื่องของการจ่าย
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก โดยเฉพาะในช่วงเริ่มต้น การบริหารจัดการ “ภาษี” อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก และหลายคนมักจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสำนักงานบัญชีเท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว “การวางแผนภาษี” เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการควรใส่ใจ เพราะมีผลต่อ:
- สภาพคล่องทางการเงิน
- ความสามารถในการแข่งขัน
- โอกาสในการขยายกิจการ
- ความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบย้อนหลัง
บทความนี้จะพาเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กทุกคน มาทำความเข้าใจกลยุทธ์การวางแผนภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้คุณจ่าย “ภาษีในจำนวนที่เหมาะสม” ไม่มากเกิน และไม่เสี่ยงต่อการถูกสรรพากรตรวจสอบในอนาคต
1. ทำไมบริษัทขนาดเล็กควรวางแผนภาษี?
- เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน: ช่วยให้เหลือเงินไปใช้หมุนเวียนธุรกิจ
- ลดความเสี่ยงในการถูกปรับ: ปฏิบัติถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ลดโอกาสโดนตรวจสอบย้อนหลัง
- สร้างความโปร่งใส: บริหารธุรกิจอย่างมืออาชีพ สร้างความน่าเชื่อถือต่อคู่ค้า
- ใช้สิทธิประโยชน์ภาษีได้เต็มที่: รู้ทันสิทธิ์ที่ธุรกิจสามารถขอคืนภาษีหรือธุรกิจที่ได้รับการยกเว้นภาษีนั่นเอง
2. รู้จักภาษีที่บริษัทต้องจัดการก่อนวางแผน
ก่อนวางแผนภาษี ต้องเข้าใจประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับบริษัทขนาดเล็ก:
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 / ภ.ง.ด.51)
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ( ภ.ง.ด.3 / ภ.ง.ด.53)
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) – หากมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท/ปี ( ภพ.30 / ภพ.36)
- ภาษีธุรกิจเฉพาะ – กรณีขายอสังหาริมทรัพย์หรือธุรกิจเฉพาะทาง ( ภธ.40)
- ประกันสังคม และเงินสมทบอื่น ๆ
3. กลยุทธ์วางแผนภาษีแบบง่ายที่ทุกบริษัทขนาดเล็กทำได้
3.1 แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจอย่างเด็ดขาด
- เปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัท งดใช้บัญชีส่วนตัวรับ-จ่ายเงินให้บริษัท เพื่อจะทำให้เห็นภาพกำไรขาดทุนจริง และวางแผนภาษีได้แม่นยำ
3.2 จัดทำบัญชีให้ถูกต้อง และบันทึกเอกสารให้ครบถ้วน
- เก็บใบกำกับภาษี ใบเสร็จรับเงิน ใบสำคัญจ่ายทุกครั้ง
- ทำบัญชีตามเกณฑ์รายการ (ไม่ใช่แค่เกณฑ์เงินสด)
- เลือกสำนักงานบัญชีหรือผู้ทำบัญชีที่เข้าใจธุรกิจ
3.3 วางโครงสร้างเงินเดือนให้เหมาะสม
- เจ้าของธุรกิจควรรับเงินเดือนในระดับที่สมเหตุสมผล
- เงินเดือนสามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายบริษัทและช่วยลดกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษี
4. ใช้สิทธิประโยชน์ภาษีให้เต็มที่
4.1 หักรายจ่ายได้เต็มที่ หากเอกสารถูกต้อง
- รายจ่ายที่จำเป็นและเกี่ยวข้องกับกิจการ เช่น ค่าโฆษณา ค่าขนส่ง ค่าวัสดุ
- รายจ่ายต้องมีใบกำกับภาษีถูกต้องครบถ้วน
- ควรหลีกเลี่ยงการซื้อของที่ไม่มีเอกสารหรือซื้อด้วยเงินสดจากร้านค้าไม่มี VAT
4.2 ใช้ Super Deduction ให้เป็นประโยชน์
ตัวอย่างที่บริษัทขนาดเล็กใช้ได้:
- ค่าฝึกอบรมพนักงาน → หักได้ 200%
- ค่าจ้างผู้สูงอายุ / ผู้พิการ → หักได้ 2 เท่า
- การลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต
4.3 ขอคืน VAT อย่างถูกวิธี
- สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้เข้าเกณฑ์ VAT กรณีส่งออกสินค้า หรือมีภาษีซื้อเกินภาษีขาย ทำเรื่องขอคืน Vat ได้โดยต้องใช้ใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง และมีรายงานภาษีขาย-ซื้อประกอบและเอกสารการส่งออก
5. วางแผนทุนจดทะเบียนและทุนเรียกชำระแล้วให้เหมาะสม
การที่มีทุนเรียกชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้าน และรายได้ไม่เกิน 30 ล้านต่อปี อัตราภาษีจะใช้อัตราของ SME
กำไรสุทธิ | อัตราภาษี |
ไม่เกิน 300,000 บาท | ยกเว้นภาษี |
300,001 – 3,000,000 | 15% |
มากกว่า 3,000,000 | 20% |
ดังนั้น การวางแผนเรื่องทุนรับชำระแล้วและรายได้ควรวางแผนเรื่องอัตราภาษีได้
6. กลยุทธ์เฉพาะทางเพิ่มเติมที่ SME ควรรู้
6.1 แปลงสินทรัพย์เป็นค่าใช้จ่าย
- ค่าใช้จ่ายบางประเภทสามารถตัดเป็นค่าเสื่อมได้ เช่น คอมพิวเตอร์, เครื่องจักรแนะนำผู้ประกอบการควรปรึกษาสำนักงานบัญชีเกี่ยวกับการตั้งค่าเสื่อมราคาในงบการเงิน เพื่อความถูกต้อง
6.2 วางแผนกระแสเงินสด เพื่อไม่ให้ขาดสภาพคล่องตอนเสียภาษี
- กันเงินสำรองจ่ายภาษีล่วงหน้า (ทุกเดือน)
- ตรวจสอบเอกสารชำระภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย ว่าครบถ้วนไหม เพื่อให้สามารถใช้หักในตอนสิ้นปีได้
7. ข้อควรระวังที่ทำให้ SME เสี่ยงถูกตรวจสอบภาษี
- ใช้ใบเสร็จหรือใบกำกับภาษีที่ไม่ถูกต้อง
- ไม่ยื่นภาษีประจำเดือน (ภ.พ.30 / ภ.ง.ด.1 / ภ.ง.ด.3 ฯลฯ)
- รายจ่ายมากเกินไป หรือไม่สัมพันธ์กับรายได้
- บัญชีขาดความเชื่อมโยงระหว่างรายรับ – รายจ่าย – เงินในบัญชี
สรุป: SME ที่ดี ควรจ่ายภาษีอย่างมีแผน ไม่ใช่แค่รอคำนวณปลายปี
วางแผนภาษีไม่ใช่เรื่องของคนบัญชีเท่านั้น แต่คือ “ทักษะการบริหาร” ที่เจ้าของธุรกิจควรเข้าใจ เพราะการวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้คุณ:
- ภาระทางภาษีลดลงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
- ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีได้อย่างเต็มที่
- ไม่ต้องกังวลเรื่องการโดนตรวจสอบย้อนหลัง
- การวางแผนธุรกิจที่ดีจะสามารถเพิ่มเงินทุนหมุนเวียนให้ธุรกิจเติบโตได้จริง