ถ้าใช้บ้านหรือที่ดินเป็นสถานประกอบการโดยไม่คิดค่าเช่าจะมีผลอะไรไหม?

ถ้าใช้บ้านหรือที่ดินเป็นสถานประกอบการโดยไม่คิดค่าเช่าจะมีผลอะไรไหม

ถ้าใช้บ้านหรือที่ดินเป็นสถานประกอบการโดยไม่คิดค่าเช่าจะมีผลอะไรไหม?

การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจครอบครัว มักใช้บ้านของตนเองหรือที่ดินของครอบครัวเป็นที่ตั้งสำนักงาน โรงงาน หรือโกดังสินค้า โดยไม่คิดค่าเช่า เพื่อประหยัดต้นทุนและลดค่าใช้จ่ายในช่วงเริ่มแรก

คำถามที่ตามมาคือ “ถ้าใช้บ้านหรือที่ดินเป็นสถานประกอบการโดยไม่คิดค่าเช่า จะมีผลทางกฎหมายและภาษีอย่างไร?” 

บทความนี้จะอธิบายให้ละเอียดทั้งในมุมของบริษัท ห้างหุ้นส่วน และเจ้าของที่ดิน เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจสิทธิ หน้าที่ และข้อควรระวัง

สถานประกอบการ

  • บ้านพักอาศัย
  • อาคารสำนักงาน
  • โกดังสินค้า
  • โรงงาน
  • ร้านค้า

แม้จะไม่ได้เช่าหรือซื้อ แต่หากใช้เป็นที่ทำการของบริษัทก็ถือว่าเป็น “สถานประกอบการ” ที่ต้องแจ้งต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

กรณีใช้บ้านหรือที่ดินโดยไม่คิดค่าเช่า

1. ใช้บ้านของกรรมการ/ผู้ถือหุ้นเป็นที่ทำการบริษัท

  • ไม่ทำสัญญาเช่า ไม่คิดค่าเช่า
  • จดทะเบียนบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นที่ตั้งบริษัท

2. ใช้ที่ดินของครอบครัวเป็นสถานประกอบการ

  • เช่น พ่อแม่ยกให้ลูกใช้พื้นที่เปิดร้าน แต่ไม่เก็บค่าเช่า

3. ใช้ที่ดินของกรรมการเป็นโกดังเก็บสินค้า

  • ไม่มีค่าใช้จ่ายค่าเช่า

มุมทางกฎหมาย

1. ด้านทะเบียนนิติบุคคล (DBD)

  • บริษัทสามารถจดทะเบียนที่ตั้งอยู่บนบ้านหรือที่ดินได้ แม้จะไม่มีการคิดค่าเช่า
  • แต่ต้องมีเอกสารแสดงสิทธิ์ เช่น สำเนาโฉนด หนังสือยินยอมจากเจ้าของที่ดิน

ด้านภาษีอากร (กรมสรรพากร)

  • หากไม่มีการคิดค่าเช่า → ไม่มีรายได้ค่าเช่าเกิดขึ้น → เจ้าของที่ดินไม่ต้องเสียภาษีเงินได้จากค่าเช่า
  • แต่บริษัทไม่สามารถบันทึกค่าใช้จ่ายค่าเช่าได้

ด้านภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

  • หากใช้ที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างเพื่อประกอบธุรกิจ → เจ้าของที่ดินยังคงต้องเสียภาษีที่ดินในอัตรา “เพื่อการพาณิชย์” แม้ไม่ได้เก็บค่าเช่า

ข้อดีของการใช้บ้าน/ที่ดินโดยไม่คิดค่าเช่า

  • ประหยัดต้นทุนธุรกิจช่วงเริ่มต้น
  • ไม่ต้องมีภาระค่าเช่ารายเดือน
  • จดทะเบียนบริษัทได้รวดเร็ว

ข้อเสีย/ความเสี่ยง

1. บริษัทไม่สามารถบันทึกค่าใช้จ่ายเช่าได้

  • ทำให้กำไรสูงขึ้น → ภาระทางภาษีอาจสูงขึ้น

2. ปัญหาทางกฎหมายหากมีข้อพิพาท

  • หากไม่มีสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษร → อาจเกิดปัญหาหากเจ้าของที่ดินเปลี่ยนใจ

3. ความเสี่ยงด้านการตรวจสอบภาษี

  • สรรพากรอาจสงสัยว่ามีการหลีกเลี่ยงภาษีค่าเช่าหรือไม่

วิธีการที่เหมาะสม

1. ทำหนังสือยินยอมใช้สถานที่

  • หากไม่คิดค่าเช่าควรมี “หนังสือยินยอมให้ใช้สถานที่” จากเจ้าของที่ดินเพื่อยืนยันว่าให้ใช้โดยไม่คิคค่าเช่า

2. พิจารณาคิดค่าเช่าเล็กน้อย (ค่าใช้จ่ายสมเหตุสมผล)

  • เพื่อให้บริษัทบันทึกค่าใช้จ่ายได้ และไม่กระทบภาษีมากนัก

ภาษีที่เกี่ยวข้อง

1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล

  • บริษัทไม่มีค่าเช่าเป็นค่าใช้จ่าย

2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

  • เจ้าของที่ดินไม่มีรายได้ค่าเช่า → ไม่ต้องเสียภาษี

3. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

  • เจ้าของที่ดินต้องเสียภาษีในอัตรา “เพื่อการพาณิชย์” แม้ไม่เก็บค่าเช่า

ข้อควรระวัง

  • หากบริษัทต้องการกู้ยืมเงินจากธนาคาร → ธนาคารอาจขอเอกสารสิทธิ์ที่ดินและสัญญาเช่า
  • หากมีผู้ถือหุ้นหลายฝ่าย → ควรทำข้อตกลงเรื่องการใช้สถานที่ให้ชัดเจน
  • หากใช้บ้านพักอาศัยในหมู่บ้านจัดสรร → ต้องตรวจสอบข้อบังคับนิติบุคคลหมู่บ้านว่าห้ามประกอบธุรกิจหรือไม่

สรุป

การใช้ที่ดินหรือบ้านเป็นสถานประกอบการโดยไม่คิดค่าเช่า ทำได้ตามกฎหมาย แต่ต้องมีเอกสารยืนยัน เช่น หนังสือยินยอมจากเจ้าของที่ดิน และต้องเข้าใจผลกระทบทางภาษี ได้แก่

  • บริษัทไม่สามารถบันทึกค่าใช้จ่ายเช่าได้ → ภาระทางภาษีอาจสูงขึ้น
  • เจ้าของที่ดินไม่มีรายได้ค่าเช่า แต่ยังต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในอัตราเพื่อการพาณิชย์

คำแนะนำ: แม้จะไม่คิดค่าเช่า แต่ควรทำเอกสารยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต และทำให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างมั่นใจ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือ