ภาษีมูลค่าเพิ่ม VAT คืออะไร?

ภาษีมูลค่าเพิ่ม-vat

ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร หรือที่เรียกโดยย่อว่า VAT (Value Added Tax) คือภาษีทางอ้อมที่เรียกเก็บจากมูลค่าของสินค้าและบริการในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายจนถึงผู้บริโภคปลายทาง ในประเทศไทย ภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลที่นำไปใช้พัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เช่น โครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการสาธารณสุข การทำความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มและการปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ประกอบการและผู้บริโภค

VAT คืออะไร?

VAT ย่อมาจาก “Value Added Tax” ซึ่งหมายถึงภาษีที่จัดเก็บจากมูลค่าเพิ่มในแต่ละขั้นตอนของการผลิตและจำหน่าย ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตวัตถุดิบเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ผลิตสินค้า และผู้ผลิตสินค้าเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ค้าปลีก โดยในแต่ละขั้นตอน ผู้ประกอบการสามารถนำ VAT ที่จ่ายไปในกระบวนการผลิต (Input Tax) มาหักกับ VAT ที่เรียกเก็บจากลูกค้า (Output Tax) ก่อนนำส่งให้รัฐ

ภาษีมูลค่าเพิ่ม หมู่หมวดไหน?

ภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยจัดอยู่ใน “หมวดภาษีทางอ้อม” ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคเป็นผู้แบกรับภาระภาษี แต่ผู้ประกอบการทำหน้าที่เก็บภาษีและนำส่งให้รัฐ ภาษีนี้ครอบคลุมสินค้าและบริการเกือบทุกประเภท ยกเว้นบางหมวดหมู่ที่ได้รับการยกเว้นโดยเฉพาะ เช่น:

  1. สินค้าและบริการที่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม:
    • บริการทางการแพทย์
    • การศึกษา
    • การขายพืชผลทางการเกษตร
  2. การนำเข้าสินค้าบางประเภท:
    • สินค้าจำเป็น เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์บางชนิด

ภาษีมูลค่าเพิ่ม มีอะไรบ้าง?

การจัดการภาษีมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วนสำคัญ:

  1. ภาษีซื้อ (Input Tax):
    เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการจ่ายเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
    • ตัวอย่าง: บริษัทผู้ผลิตซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์และจ่าย VAT ไป
  2. ภาษีขาย (Output Tax):
    เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบการเรียกเก็บจากลูกค้าเมื่อขายสินค้าและบริการ
    • ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกเรียกเก็บ VAT จากผู้บริโภคเมื่อขายสินค้า

ผู้ประกอบการสามารถนำภาษีซื้อมาหักลบกับภาษีขายเพื่อคำนวณจำนวนภาษีที่ต้องนำส่งให้รัฐ

เมื่อไรควรจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นหน้าที่ของผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าหรือบริการที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมาย และผู้ประกอบการที่มีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มและดำเนินการเก็บภาษีนี้จากลูกค้าเพื่อนำส่งกรมสรรพากร ผู้ประกอบการที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไม่สามารถเรียกเก็บ VAT จากลูกค้าได้

สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ..?

เมื่อเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ก็จะสามารถนำภาษีซื้อมาหักกับภาษีขายได้ #ตัวอย่างเช่น สมมติว่าอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 7 ซื้อวัตถุดิบ วัสดุอุปกรณ์มา 100 บาท และมีภาษีซื้อ 7 บาท เมื่อผลิตเป็นสินค้าขายในราคา 150 บาท ตอนขายไปจะต้องคิดภาษีขาย 10.50 บาท ดังนั้น ก็จะเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะผลต่างจำนวน 10.5 – 7 = 3.5 บาท ยอดภาษี 3.50 บาท นี้ที่ต้องนำส่งให้กับกรมสรรพากร

เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม

สามารถยื่นแบบ ภ.พ. 30 พร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) หากยื่นแบบเปเปอร์ ภายในวันที่ 15 ยื่นผ่านระบบออนไลน์ ภายในวันที่ 23 ของเดือนถัดจากเดือนภาษี

วิธีการคำนวณและนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่ม

การคำนวณ VAT ทำได้ง่าย ๆ โดยใช้สูตร:
มูลค่าสินค้าหรือบริการ × อัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (7%)

ตัวอย่างเช่น หากราคาสินค้าเท่ากับ 1,000 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มจะเท่ากับ 70 บาท และราคาขายรวม VAT จะเท่ากับ 1,070 บาท

ผู้ประกอบการต้องยื่นแบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.30) และนำส่งภาษีให้กรมสรรพากรภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป หากไม่ดำเนินการตามกำหนดอาจต้องเสียค่าปรับและดอกเบี้ย

ข้อยกเว้นและสิทธิพิเศษ

แม้ VAT จะครอบคลุมสินค้าหรือบริการส่วนใหญ่ แต่ยังมีข้อยกเว้นสำหรับบางกิจกรรม เช่น การส่งออกสินค้าได้รับการยกเว้น VAT ในอัตรา 0% เพื่อส่งเสริมการค้าและการส่งออก

สรุป

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) คือภาษีทางอ้อมที่เรียกเก็บจากมูลค่าของสินค้าและบริการในทุกขั้นตอนของการผลิตและจำหน่าย ภาษีมูลค่าเพิ่มมีลักษณะเป็นภาษีทางอ้อม หมวดหมู่ที่สำคัญคือภาษีซื้อและภาษีขาย ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการจัดการอย่างถูกต้องและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย การทำความเข้าใจเกี่ยวกับ VAT และปฏิบัติตามข้อกำหนดจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและโปร่งใส