ติดต่องานด้านบัญชี
ติดต่องานธุรกิจ 
มีหลายธุรกิจควรจดบริษัทใหม่หรือจดเพิ่มสาขา หากมีธุรกิจหลายแห่ง ควรวางแผนให้ถูกทาง ตั้งแต่สาขาแรกจนถึงธุรกิจใหม่ เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต หลายคนมีแนวคิดที่จะขยายกิจการออกไปยังหลายพื้นที่ เช่น เปิดสาขาใหม่ในต่างจังหวัด แยกแผนกการผลิตออกจากหน้าร้าน หรือแม้แต่ทำธุรกิจใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับของเดิม ซึ่งคำถามที่ตามมาคือ: “ต้องจดทะเบียนใหม่ทุกแห่งไหม?” “หรือแค่เปิดสาขาเพิ่มเติมก็พอ?” คำตอบขึ้นอยู่กับ ลักษณะของธุรกิจ, วัตถุประสงค์ในการขยาย และ ความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละกิจการ ซึ่งบทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียดเพื่อช่วยคุณตัดสินใจได้ถูกต้อง ✅ บริษัทเดียว เปิดหลายสาขา หากธุรกิจที่คุณต้องการเปิดหลายแห่ง มีลักษณะกิจการเหมือนกันและใช้ชื่อเดียวกัน เช่น 1. ร้านอาหารหลายสาขา 2. คลังสินค้าแยกจากสำนักงานใหญ่ 3. สำนักงานขายในหลายจังหวัด กรณีแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนเป็นหลายบริษัท เพียงแค่ใช้ “บริษัทเดียว” และแจ้ง “เปิดสาขาเพิ่มเติม” กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เท่านั้น…

เมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจ หนึ่งในคำถามที่หลายคนมักจะสงสัยคือ “การตั้งชื่อบริษัทจำเป็นต้องตรงกับธุรกิจที่เราทำหรือไม่?” หรือหากตั้งชื่อที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจจริง ๆ จะทำให้เกิดปัญหาอะไรหรือเปล่า? คำถามนี้ฟังดูธรรมดา แต่เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะชื่อบริษัทไม่ใช่แค่ตัวหนังสือบนกระดาษจดทะเบียน แต่มันคือ ภาพลักษณ์ แบรนด์ และเครื่องมือสื่อสารกับลูกค้า โดยตรง หากตั้งชื่อผิดตั้งแต่ต้น ก็อาจส่งผลกระทบในหลายด้านโดยที่ผู้ประกอบการไม่ทันคิดถึง ชื่อบริษัทไม่ต้องตรงกับธุรกิจ 100% แต่ต้องไม่ขัดกับกฎหมาย ในเชิงกฎหมายของประเทศไทย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่ได้บังคับว่าชื่อบริษัทต้องตรงกับประเภทธุรกิจ แต่จะเน้นเรื่องความเหมาะสม ไม่ซ้ำกับบริษัทอื่น และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย เช่น ห้ามใช้คำหยาบ ห้ามพ้องเสียงกับหน่วยงานราชการ หรือหลอกลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ดังนั้น บริษัทสามารถใช้ชื่อสร้างสรรค์ได้อย่างหลากหลาย เช่น ตั้งตามชื่อเจ้าของ ตั้งตามแนวคิดของแบรนด์ หรือใช้คำที่ให้ความรู้สึกดี เช่น “บริษัท ดรีมวัน จำกัด” ที่อาจทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์…

การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจในประเทศไทย การดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือและสามารถดำเนินการได้อย่างมั่นคง อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการจดทะเบียนบริษัท หลายครั้งผู้ประกอบการมักพลาดในบางจุด ซึ่งอาจส่งผลให้การจดทะเบียนล่าช้า เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม หรือถูกปฏิเสธโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บทความนี้จะกล่าวถึงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการจดทะเบียนบริษัทและวิธีป้องกัน เพื่อช่วยให้การดำเนินการเป็นไปอย่างราบรื่น 1. การตั้งชื่อบริษัทไม่ถูกต้องหรือซ้ำกับบริษัทอื่น เพราะอาจทำให้การจดทะเบียนถูกปฏิเสธ เนื่องจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่อนุญาตให้มีชื่อบริษัทซ้ำกันแม้จะเป็นชื่อที่ใกล้เคียง วิธีป้องกัน:– ตรวจสอบชื่อบริษัท– เตรียมชื่อสำรองไว้อย่างน้อย 2-3 ชื่อ 2. การกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มไม่ถูกต้อง ซึ่งอาจเกิดจากความไม่เข้าใจในข้อกำหนด หรือไม่ตรวจสอบก่อนยื่น วิธีป้องกัน:– อ่านคำแนะนำและตรวจสอบความถูกต้องในการกรอกแบบฟอร์มอย่างละเอียด 3. การระบุวัตถุประสงค์ของบริษัทไม่ชัดเจน อาจทำให้เกิดปัญหาในการขอใบอนุญาตเพิ่มเติมหรือประกอบธุรกิจในภายหลัง วิธีป้องกัน:– ระบุวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน ครอบคลุมกิจการหลักของบริษัท 4. ไม่ตรวจสอบเอกสารของผู้ถือหุ้นและกรรมการ เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน หรือหนังสือรับรองบริษัทของผู้ถือหุ้น ทำให้เอกสารไม่ครบถ้วนในการยื่นจดทะเบียน วิธีป้องกัน:–…

การประกอบธุรกิจในประเทศไทยจำเป็นต้องขอใบอนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากธุรกิจหลายประเภทมีข้อกำหนดเฉพาะในการดำเนินการเพื่อความปลอดภัย ความถูกต้อง และการคุ้มครองผู้บริโภค แต่หนึ่งในคำถามที่เจ้าของธุรกิจมักสงสัยคือ “ใบอนุญาตประกอบธุรกิจต้องต่ออายุทุกกี่ปี?” ประเภทของใบอนุญาตประกอบธุรกิจและระยะเวลาต่ออายุใบอนุญาตแต่ละประเภทมีระยะเวลาการต่ออายุแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของธุรกิจและหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต ดังนี้: 1. ใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบ ไพ่ ระยะเวลาต่ออายุ: ภายในวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปีหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต: กรมสรรพสามิตรายละเอียด: เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิตและการควบคุมการจำหน่ายของมึนเมา จึงต้องต่ออายุทุกปีเพื่อยืนยันการดำเนินกิจการ 2. ใบอนุญาตประกอบกิจการร้านอาหาร ระยะเวลาต่ออายุ: ทุก 1 ปีหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต: สำนักงานเขต/เทศบาลรายละเอียด: เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและสุขอนามัยของผู้บริโภค ต้องต่ออายุทุกปีเพื่อตรวจสอบมาตรฐาน 3. ใบอนุญาตประกอบกิจการนำเที่ยว ระยะเวลาต่ออายุ: ทุก 2 ปีหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต: กรมการท่องเที่ยวรายละเอียด: เนื่องจากต้องมีการปรับปรุงข้อมูลบริษัท มัคคุเทศก์ และความน่าเชื่อถือในการให้บริการ 4.…

การจดทะเบียนบริษัทเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญในการเริ่มต้นธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจของคุณมีสถานะทางกฎหมายและสามารถดำเนินการได้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย แต่หลายคนอาจสงสัยว่า “จดทะเบียนบริษัทเองได้ไหม?” หรือ “จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษา?” การตัดสินใจว่าจะทำเองหรือจ้างผู้เชี่ยวชาญขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย บทความนี้จะวิเคราะห์ข้อดีและข้อเสียของทั้งสองทางเลือก เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม จดทะเบียนบริษัทเอง: ทำได้หรือไม่? คำตอบคือ ทำได้! ผู้ประกอบการสามารถจดทะเบียนบริษัทเองได้โดยไม่จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษา การจดทะเบียนบริษัทในประเทศไทยสามารถทำได้ผ่าน กรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ทั้งทางออนไลน์และไปยื่นเอกสารด้วยตัวเอง ข้อดีของการจดทะเบียนเอง ข้อเสียของการจดทะเบียนเอง จ้างที่ปรึกษา: คุ้มค่าหรือไม่? ในหลายกรณี ผู้ประกอบการเลือกที่จะจ้างที่ปรึกษาเพื่ออำนวยความสะดวก เนื่องจากการจดทะเบียนบริษัทมีความซับซ้อนพอสมควร โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์ด้านเอกสารหรือกฎหมายธุรกิจ ข้อดีของการจ้างที่ปรึกษา ข้อเสียของการจ้างที่ปรึกษา ไม่ว่าจะเลือกวิธีใด สิ่งสำคัญคือ ต้องศึกษาและเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อให้การจดทะเบียนบริษัทเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สะดุดกลางทาง __________________________________________________ สุดท้ายนี้! หากคุณยังลังเล หรือไม่อยากเสี่ยงกับความผิดพลาดในการจดทะเบียนบริษัทGreenPro KSP Group มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมดูแลทุกขั้นตอน…

การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นก้าวสำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องการสร้างธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี เจ้าของบริษัทอาจจดทะเบียนไปแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินกิจการจริง ไม่ว่าจะเป็นเพราะธุรกิจยังไม่พร้อม หรือเปลี่ยนแผนกะทันหัน การปล่อยให้บริษัทที่จดทะเบียนไว้อยู่เฉย ๆ โดยไม่ดำเนินการใด ๆ อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและค่าปรับที่ไม่คาดคิด ดังนั้น หากจดทะเบียนบริษัทแล้วแต่ยังไม่ได้ดำเนินกิจการ ควรดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาภายหลัง ขั้นตอนที่ต้องทำหากจดทะเบียนบริษัทแล้วแต่ไม่ได้ดำเนินกิจการ 1. ยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด.50 และ ภ.ง.ด.51) แม้ไม่มีรายได้บริษัทต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลทุกปี– หากไม่มีรายได้ ให้กรอก “ไม่มีรายได้” หรือ “ขาดทุน”– ภ.ง.ด.51 (กลางปี) ต้องยื่นภายในเดือนสิงหาคม– ภ.ง.ด.50 (สิ้นปี) ต้องยื่นภายใน 150 วันหลังปิดรอบบัญชี หากไม่ยื่น อาจถูกปรับเริ่มต้นที่ 2,000 บาท และอาจถูกตรวจสอบภาษีย้อนหลัง 2.…

ในปัจจุบัน มีธุรกิจและกิจการมากมายที่ต้องใช้ ใบอนุญาตประกอบกิจการ หรือ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เพื่อดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่หลายคนอาจเจอคือ “ใบอนุญาตที่ได้ขอมาเป็นของแท้หรือไม่?” เนื่องจากมีมิจฉาชีพที่อาจปลอมแปลงเอกสาร หรือมีใบอนุญาตปลอมที่ไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 1. ตรวจสอบหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต2. ตรวจสอบหมายเลขใบอนุญาตและ QR Code3. ตรวจสอบรายละเอียดบนใบอนุญาต4. เช็กข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ของภาครัฐ5. สอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง อย่าตกเป็นเหยื่อของใบอนุญาตปลอม! หากคุณกำลังขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ควรดำเนินการผ่านช่องทางที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจว่าเอกสารที่ได้รับเป็นของแท้ 100% ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือในการตรวจสอบใบอนุญาต หรือ การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ สามารถติดต่อสอบถามกับเรา Greenpro ksp group ได้เรายินดีให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพทุกขั้นตอน >> line.me/ti/p/@greenprokspacc

การจดทะเบียนบริษัทถือเป็นก้าวสำคัญของผู้ประกอบการที่ต้องการขยายธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการจดทะเบียนบริษัทแล้ว เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับภาษีที่ต้องเสีย เพื่อให้สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพและหลีกเลี่ยงปัญหาด้านภาษีในอนาคต 1. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax)2. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT – Value Added Tax)3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax)หรือภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับแต่ละประเภทของธุรกิจ

การเริ่มต้นธุรกิจเป็นความฝันของหลาย ๆ คน แต่หนึ่งในคำถามที่สำคัญคือ “ควรทำธุรกิจคนเดียว หรือหาหุ้นส่วนมาร่วมงานดี?” การเลือกแนวทางที่เหมาะสมส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริหารจัดการ การเงิน และการเติบโตของกิจการในบทความนี้จะอธิบายข้อดี-ข้อเสียของทั้งสองทางเลือก เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสม การทำธุรกิจคนเดียว (Sole Proprietorship) การทำธุรกิจคนเดียวหมายถึงเจ้าของกิจการเป็นผู้รับผิดชอบทุกอย่างเองทั้งหมด ตั้งแต่การวางแผน การบริหารงาน การเงิน ไปจนถึงการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ข้อดีของการทำธุรกิจคนเดียว – มีอิสระในการตัดสินใจ– ไม่ต้องแบ่งกำไร– ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย ข้อเสียของการทำธุรกิจคนเดียว – หากเกิดปัญหาหรือมีข้อผิดพลาด เจ้าของต้องเป็นผู้รับภาระทั้งหมด– เงินทุนจำกัด– ขยายธุรกิจได้ช้า การมีหุ้นส่วน (Partnership / Company) การมีหุ้นส่วนหมายถึงการทำธุรกิจร่วมกับผู้อื่น ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ หรือการตั้งบริษัทแบบมีผู้ถือหุ้น ข้อดีของการมีหุ้นส่วน –…

การเปลี่ยนชื่อกรรมการบริษัทอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลจากการสมรส การเปลี่ยนชื่อเพื่อเสริมดวง หรือเหตุผลส่วนตัวอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อเกิดขึ้น กรรมการบริษัทต้องดำเนินการแจ้งเปลี่ยนแปลงกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ข้อมูลของบริษัทเป็นปัจจุบันและถูกต้องตามกฎหมาย ขั้นตอนการดำเนินการเมื่อต้องเปลี่ยนชื่อกรรมการบริษัท 1. เตรียมเอกสารที่จำเป็น 2. แจ้งเปลี่ยนแปลงกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 3. แจ้งเปลี่ยนแปลงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ข้อควรระวังในการเปลี่ยนชื่อกรรมการบริษัท 1. ต้องแจ้งการเปลี่ยนแปลงต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้าภายใน 14 วัน นับจากวันที่มีการเปลี่ยนชื่อ มิฉะนั้นอาจมีค่าปรับตามที่กฎหมายกำหนด 2. ตรวจสอบให้แน่ใจว่าชื่อใหม่ของกรรมการได้รับการอัปเดตในเอกสารทางธุรกิจ เช่น ใบกำกับภาษี เอกสารการประชุมบริษัท และหนังสือสัญญาต่าง ๆ 3. หากบริษัทมีใบอนุญาตทางธุรกิจ (เช่น ใบอนุญาตประกอบธุรกิจนำเข้า-ส่งออก) อาจต้องดำเนินการแจ้งเปลี่ยนแปลงกับหน่วยงานที่ออกใบอนุญาต